รู้จัก belle gunness farm ฆาตกรต่อเนื่องสุดโหด ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตฆ่าคนรอบกายไปกว่า 40 คน!!!

belle gunness farm เรื่องราวทุกๆ อย่างในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนี้ ค่อยๆ ถูกเปิดเผยขึ้นมา ในเดือนเมษายนของปี 1908 ที่บ้านฟาร์มแห่งหนึ่งในเมืองลาพอร์เต้ รัฐอินเดียนน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา เช้าวันหนึ่งที่นายแม็กซอนโจ คนงานของฟาร์มได้ตื่นขึ้นมา เขาได้กลิ่นไหม้ตัวบ้าน จึงได้รีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะกลิ่นเหม็นไหม้นี้ไม่น่าจะใช่กลิ่นทำอาหารเช้าของนายจ้างหญิงนามว่า เบลล์ กันเนส ที่กำลังเตรียมอาหารสำหรับลูกๆ เป็นแน่ หากแต่ว่านี่เป็นกลิ่นเผาไหม้ของยางรถยนต์ที่แสบหูแสบตาจนเกินจะทนได้


สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือบ้านกำลังตกอยู่ในกองเพลิง แม็กซอนพยายามหนีออกจากห้อง แต่ประตูกลับถูกล็อกจากด้านนอก เขาพุ่งกระแทกตัวเข้าใส่บานประตูอย่างรุนแรงพร้อมกับคิดว่าถ้าไม่สามารถออกทางประตูได้ เขาอาจจำเป็นจะต้องกระโดดออกทางหน้าต่าง แต่ในที่สุด แม็กซอนก็หนีออกมาจากห้องจนได้ เขาได้วิ่งลงบันไดผ่านห้องโถง พลางร้องเรียกคุณนายเบลล์ให้ได้รับรู้ว่าขณะนี้บ้านกำลังถูกเพลิงไหม้ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เลย แม็กซอนยังพยายามวิ่งตามหาคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านจนทั่ว แต่เขากลับไม่พบกับสมาชิกคนอื่นในบ้านเลย ขณะเดียวกันเปลวเพลิงก็ได้โหมกระหน่ำลุกไหม้จนลามไปทั่วบ้านอย่างรวดเร็ว เขาจึงจำเป็นที่ต้องวิ่งหลบออกมานอกบ้านเพื่อความปลอดภัย

ที่นอกบ้าน แม็กซอนก็ยังไม่พบกับคุณนายเบลล์และลูกๆ ของเธออยู่ดี ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในเมืองเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้คนแต่เมื่อกลับมาถึงบ้านอีกครั้งก็พบว่า บ้านทั้งหลังถูกไฟเผาวอดวายจนเหลือแต่เสาไปแล้ว จนเมื่อนายอำเภอ พนักงานดับเพลิง และอาสาสมัครได้มาถึงที่เกิดเหตุ สภาพที่เหลืออยู่หลังไฟมอดลงนั้น ก็ได้มีการพบศพในที่เกิดเหตุ ประกอบไปด้วยร่างของเด็กๆ 3 คน ทั้งหมดเป็นลูกของคุณนายเบลล์ และยังมีศพของผู้ใหญ่อีกหนึ่งศพ เป็นศพของผู้หญิงที่ถูกตัดหัว ซึ่งทั้งสี่ศพนี้ถูกพบรวมกันอยู่ที่ชั้นใต้ดินของบ้าน ตำรวจจึงคาดว่าศพที่ไร้หัวนี้จึงน่าจะเป็นศพของคุณนายเบลล์

อุบัติเหตุในห้องครัว belle gunness farm

belle gunness farm แต่ความร้ายกาจจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่นี้ กลายเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยไปในทันที หากเทียบกับชีวิตของคุณนายเจ้าของฟาร์ม เบลล์ กันเนส และเหตุการณ์นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการตรวจสอบย้อนหลังชีวิตของเธอ ที่ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงว่า เธอเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีการตายปริศนาของใครๆ อีกหลายคนในประเทศสหรัฐอเมริกา จนสามารถเรียกได้ว่าทุกที่ที่หญิงสาวชาวนอร์เวย์คนนี้ได้เคยผ่านไป ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเธอมักจะมีจุดจบของชีวิตในแบบที่ไม่ตายดีทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นสามี ชายที่มาติดพันหรือแม้กระทั่งลูกๆ ของเธอเอง และประวัติชีวิตของเธอทั้งหมดจึงทำให้ชื่อของเบลล์ กันเนสต้องถูกจารึกเอาไว้ว่าเป็นผู้หญิงที่ฆ่าคนมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา

สาเหตุของไฟไหม้นั้นสันนิษฐานว่าเกิดจากฝีมือของนางเบลล์ที่ได้วางเพลิงเพื่อชิงฆ่าตัวตายไปก่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนในคดีอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวพันกับเธอ แต่การตายของเธอก็ยังมีปริศนาให้ขบคิดอีกมากมายตามมา จนทำให้กลายมาเป็นตำนานอันน่าสะพรึงกลัวที่หลายคนยากจะลืมเลือนจนถึงปัจจุบัน

เบลล์ กันเนสเป็นฆาตกรต่อเนื่องหญิงชาวนอร์เวย์ ซึ่งได้ฆ่าผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเธอในอิลลินอยส์และอินเดียนน่าระหว่างปี 1900-1908 โดยจำนวนของผู้ที่ต้องตกเป็นเหยื่อนั้นคาดว่าน่าจะมีมากกว่า 40 ราย เธอเต็มใจที่จะฆ่าทุกคนเพียงเพื่อหวังประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองหรือเงินประกัน


เรื่องราวประวัติชีวิตของเบลล์ กันเนสถูกนำมาเผยแพร่มากมาย จนไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเรื่องไหนบ้างที่เป็นเรื่องจริง แต่อย่างน้อยที่สุดเรื่องราวที่พอจะรู้แน่ชัดก็เช่น ชื่อเดิมของเธอคือ Brynhild Poulsdatter Størset  เกิดวันที่ 22 พฤศจิกายน ปี 1859 ที่ประเทศนอร์เวย์ ในเมืองแห่งหนึ่งใกล้ทะเลสาบเซลบู (Lake of Selbu) พ่อของเธอมีอาชีพเป็นช่างก่อหิน และเธอเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 8 คน ครอบครัวนี้อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ในฟาร์มที่เซลบู 60 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงใต้ของทรอนด์เฮม (Trondheim)

บรินไฮลด์ หรือ เบลล์ เป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างใหญ่โตแข็งแรง สูงประมาณ 183 เซ็นติเมตร หนักประมาณ 90 กิโลกรัม แต่ด้วยผมสีบลอนด์อ่อนนุ่มพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใส ดวงตาสีฟ้าที่ส่องเป็นประกาย ทำให้เธอมีเสน่ห์ทางเพศมากพอสมควร สารคดีทางโทรทัศน์ของนอร์เวย์ที่ออกอากาศเมื่อปี 2006 ได้เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของเบลล์ กันเนสไว้ว่า ในปี 1877 เบลล์ได้ไปร่วมงานเทศกาลประจำปี ในระหว่างที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งเธอไม่ยอมเปิดเผยว่าใครเป็นพ่อเด็ก ภายในงานเทศกาล เธอถูกทำร้ายร่างกายโดยผู้ชายคนหนึ่ง อีกทั้งยังถูกเตะเข้าไปที่ช่องท้องอย่างรุนแรงจนเธอถึงกับต้องแท้งลูก แต่เพราะชายคนดังกล่าวมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอิทธิพล เขาจึงไม่ถูกดำเนินคดีในชั้นศาลแต่อย่างใด ความเคียดแค้นทั้งหมดจึงปะทุขึ้นอย่างรุนแรงภายในจิตใจของเธอ และนับจากนั้นเป็นต้นมาจากหญิงสาวผู้สดใสกลับมีบุคลิกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด แล้วในเวลาต่อมาชายคนที่ทำร้ายร่างกายเธอก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร

ด้วยสภาพครอบครัวที่อัตคัตยากจน บรินไฮลด์จึงต้องไปทำงานในฟาร์มใหญ่ ไม่ไกลจากละแวกบ้านอยู่นานถึงสามปี จนเธอเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งเพื่อใช้เป็นค่าเดินทางด้วยเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสำหรับการออกเดินทางไปแสวงโชคยังประเทศอเมริกาในปี 1881 จนเมื่อเธออพยพมาอยู่อเมริกาแล้วจึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เบลล์ กันเนส ในช่วงแรกเธอทำงานเป็นคนรับใช้ตามบ้าน แต่ด้วยความทะเยอทะยานของเธอนั้น จะไม่ยอมหยุดเป็นเพียงคนรับใช้แน่ๆ ครั้งหนึ่งคนในครอบครัวของเธอได้ให้คำนิยามง่ายๆ สำหรับผู้หญิงคนนี้ไว้ว่า เธอเป็นผู้หญิงบ้าเงิน

รักจนสุดยอด

ในปี 1884 เบลล์ได้แต่งงานกับแมดส์ อัลเบิร์ต โซเรนเซน  (Mads Albert Sorenson) ในชิคาโก้ แล้วอีกสองปีต่อมา ทั้งคู่ก็ช่วยกันเปิดร้านขนมขึ้นมาในรัฐเท็กซัส แต่ธุรกิจกลับไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งปีถัดมา ร้านขนมของเธอก็เกิดเหตุไฟไหม้ปริศนา ซึ่งเบลล์ให้การว่าตะเกียงน้ำมันก๊าดล้ม และมันก็เริ่มติดไฟจนลุกลามไปทั่ว หากแต่ว่าตะเกียงน้ำมันก๊าดที่เธอได้อ้างถึงนั้นหาไม่พบในที่เกิดเหตุเลย แต่อย่างไรก็ตามบริษัทประกันก็ได้จ่ายเงินก้อนโตให้กับเบลล์ และเธอก็ได้นำเงินก้อนนั้นไปซื้อบ้านหลังใหม่ที่ชานเมืองย่านออสติน แต่แล้วในปี 1888 บ้านหลังใหม่ของเบลล์ที่ออสตินก็เกิดเหตุการไฟไหม้ขึ้นอีกครั้ง ทำให้เบลล์ได้รับเงินประกันก้อนใหญ่อีกก้อนเพื่อนำไปใช้สำหรับการหาซื้อบ้านหลังใหม่

เบลล์มีลูกกับโซเรนเซน 4 คนคือ แคโรไลน์ แอคเซล เมียร์เทิล และลูซี่ แต่หนูน้อยแคโไลน์ และแอคเซลนั้นต้องตายไปตั้งแต่อยู่ในวัยทารกด้วยอาการป่วยเฉียบพลัน ทั้งคลื่นไส้ มีไข้ ท้องเสีย ปวดท้อง และเป็นตะคริว อาการทั้งหลายนี้เหมือนกับอาการของคนที่ถูกวางยาพิษ และไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดใดๆ อาจเป็นเพราะว่าแม้แต่ผู้เป็นแม่ก็ยังยืนยันว่านี่เป็นการป่วยฉับพลันและไม่ได้ติดใจในสาเหตุของการเสียชีวิตของลูกๆ อย่างไรก็ตามการตายของลูกๆ ทำให้เบลล์ได้รับเงินจากบริษัทประกันอีกเช่นเคย

แล้วในวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 1900 โซเรนเซนผู้เป็นสามีของเบลล์ก็ได้เสียชีวิตลง โดยแพทย์คนแรกที่ได้ทำการชันสูตรลงความเห็นว่า เขาตายเพราะพิษยาเบื่อ แต่ทางแพทย์ประจำครอบครัวยืนยันว่าเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว โดยเบลล์ให้การว่าเธอให้เขากินยาไปเล็กน้อย เพื่อให้เขารู้สึกดีขึ้นจากอาการป่วยเท่านั้นเอง การตายของผู้เป็นสามีทำให้เบลล์ได้รับเงินประกันชีวิตไปถึง 8,500 ดอลล่าร์ แต่หลังงานศพของสามี เหล่าญาติๆ ฝั่งของโซเรนเซนสงสัยว่า เบลล์วางยาพิษเขาเพื่อหวังเอาเงินประกัน จึงเรียกร้องให้มีการพิจารณาคดี แต่หลักฐานต่างๆ นั้นกลับไม่มีความชัดเจน  เบลล์จึงรอดพ้นจากการถูกสั่งฟ้อง ทำให้เบลล์ยังลอยนวลอยู่ได้อย่างสบายอกสบายใจ

เบลล์นำเงินประกันก้อนนี้ไปซื้อบ้านใหม่เป็นฟาร์มแห่งหนึ่งนอกเมืองลาพอร์ทเต้ รัฐอินเดียนน่า โดยเธอและลูกๆ ได้พากันย้ายไปอยู่ที่นั่นในปี 1901 แต่ถึงกระนั้นความละโมบโลภมากของเบลล์ ที่เปรียบเสมือนบ่อน้ำไร้ก้นที่ไม่มีวันจะเติมเต็ม เธอจึงยังคงหาเหยื่อเพื่อผลประโยชน์ต่อไปให้ได้มากที่สุด

ศพค้นพบ

เมษายน 1902 เบลล์ได้แต่งงานกับสามีคนใหม่ที่มีชื่อว่าปีเตอร์ กันเนส ที่เป็นพ่อม่ายลูกติดชาวนอร์เวย์ และมีอาชีพเป็นพ่อค้าเนื้อ เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากพิธีแต่งงาน ลูกสาววัยทารกของปีเตอร์ก็ตายลงอย่างน่าเคลือบแคลงใจ เพราะในวันเกิดเหตุ เบลล์เป็นคนเดียวที่อยู่กับทารกน้อยผู้นี้ แล้วในเดือนธันวาคมของปีเดียวกันนั้นเอง ปีเตอร์ก็ต้องประสบอุบัติเหตุอย่างน่าอนาถ เมื่อเบลล์อ้างว่าอุปกรณ์ใบมีดของเครี่องบดเนื้อสำหรับการทำไส้กรอกตกลงมาจากชั้นวางที่สูงหล่นลงมาใส่ศรีษะของปีเตอร์ ทำให้กะโหลกศรีษะแตกและเสียชีวิตทันที เป็นอีกครั้งที่ทางเบลล์ได้รับเงินประกันชีวิตของสามี โดยครั้งนี้เธอได้รับเงินไปจำนวนถึง 4,000 ดอลล่าร์

แต่คนในท้องถิ่นที่รู้จักมักคุ้นกับปีเตอร์ดีนั้น ไม่มีใครอยากจะเชื่อว่า เขาจะพลาดพลั้งจนต้องมาตายอย่างน่าอนาถขนาดนี้ อีกทั้งปีเตอร์ก็ยังเป็นที่รู้จักดีในฐานะพ่อค้าเนื้อที่มีประสบการณ์สูงและยังเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินสะสมเอาไว้อยู่มากมาย ด้วยความน่าสงสัยในหลายๆ ประเด็น ประกอบกับเมื่อเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพได้ทำการตรวจสอบและประกาศผลอย่างเป็นทางการว่า ปีเตอร์ถูกฆาตกรรม ทำให้เบลล์กันเนสต้องถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดี
ลูกบุญธรรมคนหนึ่งของเบลล์ชื่อ เจนนี่ ออร์สัน อายุ 14 ปี เธอได้เคยเล่าให้เพื่อนร่วมชั้นฟังว่า แม่ฆ่าพ่อ แม่ตีพ่อด้วยใบมีดบดเนื้อหลายสิบครั้ง จนพ่อต้องตาย และยังได้กำชับกับเพื่อนของเธออีกว่า อย่านำเรื่องนี้ไปบอกกับใคร และด้วยเหตุนี้ทำให้ต่อมา เจนนี่ต้องถูกนำตัวมาขึ้นให้การต่อหน้าคณะลูกขุน แต่คำให้การของเธอดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก อีกทั้งระหว่างที่เจนนี่กำลังขึ้นให้การ ก็ยังมีสายตาของเบลล์ที่กำลังจับจ้องเธอ ราวกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อ ในระหว่างที่กำลังมีเรื่องมีราวเป็นคดีความกันอยู่นั้น เบลล์กำลังตั้งครรภ์ฟิลิปอยู่พอดี เธอจึงได้ใช้โอกาสนี้ขอความเห็นใจจากศาลให้สงสารเธอในฐานะแม่ม่ายที่ต้องเลี้ยงดูลูกๆ อีกหลายคนด้วยความยากลำบาก ซึ่งก็ได้ผล เหตุผลนี้ทำให้คณะลูกขุนเริ่มเอนเอียงมาทางเธอ จนในที่สุดแล้วเธอก็สามารถรอดพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งหมดได้

แต่แล้วในวันหนึ่ง โชคชะตาก็ได้นำพาหญิงโฉดกับชายชั่วให้ได้มาเป็นคู่รักซ่อนเร้น สมรู้ร่วมคิดช่วยกันก่อคดีฆาตกรรม โดยเบลล์ได้ว่าจ้างให้ รอยแลมเฟียร์ มาทำงานในฟาร์มในปี 1906 และในปีเดียวกันนั้นเอง เจนนี่ ออร์สัน ลูกบุญธรรมของเบลล์ก็หายสาบสูญไป

ถ้าหากมีใครมาทำไถ่ถึงเจนนี่ เบลก็มักจะบอกว่า เธอส่งเจนี่เข้าไปอยู่ในโรงเรียนประจำใน Los Angeles ทั้งทั้งที่แท้จริงแล้ว เด็กหญิงเจนนี่ได้ถูกแล้วฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม และศพของเธอก็ถูกฝังเอาไว้ในฟาร์มนั้นเอง เบลมักจะคิดแผนการหาเงินก้อนโตอยู่เรื่อยๆ และแผ่นการใหม่ที่เธอคิดออกก็คือ การลงโฆษณาแทรกในหนังสือพิมพ์ Chicago หรือหนังสือพิมพ์ของเมืองใหญ่ๆโดยมีเนื้อหาว่า แม่หม้ายสาวงามผู้เป็นเจ้าของกิจการใหญ่ ที่ดีที่สุดในเขตลาพอร์เต้ รัฐอินเดียน่า ต้องการคบหากับสุภาพบุรุษที่มีฐานะดี และมีมุมมองที่กว้างไกล ขอเพียงแค่ให้เราได้มาเยี่ยมเยือนกันดูสักครั้ง เพื่อพูดคุยกันเรื่องธุรกิจของสองเรา ในแบบเป็นการส่วนตัว และเมื่อมีคนตอบรับ เบลก็จะคัดเลือกจดหมาย โดยเลือกจากคนที่มีฐานะดี ที่ไม่มีญาติพี่น้อง และเธอมักจะชักชวนให้เหยื่อผู้นั้น เดินทางมาหาเธอที่ฟาร์ม พร้อมกับให้นำเงินจำนวนมากติดตัวมาด้วย เพื่อเป็นการมัดจำสำหรับการทำธุรกิจร่วมกับเธอ
มีชายวัยกลางคนที่หลงเชื่อกับคำโฆษณานี้มากมาย โดยหนึ่งในนั้นคือจอห์น มู ที่เดินทางมาจากวิสคอนซิน รัฐมินนิโซตา เขาเป็นชายวัย 50 ปีที่มีสุขภาพแข็งแรง และยังนำเงินติดตัวมาด้วยมากกว่า 1000 ดอลลาร์ จนเมื่อเขามาพบกับเบล จอห์นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหยื่อรายถัดไปคือ จอร์ชแอนเดอร์สัน ผู้อพยพชาวนอร์เวย์ ที่เดินทางมาจากมิสซูรี เพื่อมาหาเบล ตามที่เธอได้ลงโฆษณาเอาไว้ ซึ่งในตอนแรกนั้น เขาไม่ได้นำเงินทั้งหมดติดตัวมาด้วย เพราะเขาอยากเห็นเบลตัวจริงก่อนที่จะตัดสินใจ แต่เมื่อเขาเห็นตัวจริงก็ได้พบว่า เบลเป็นแม่หม้ายวัยใกล้ 40 ที่ไม่ได้สวยงดงาม อย่างที่เธอตั้งเอาไว้ในโฆษณาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีรูปร่างใหญ่โต แถมยังมีผิวพรรณหยาบกร้านตามแบบฉบับของหญิงชาวไร่ หากแต่ว่าเสน่ห์ที่แท้จริงของเบลที่มัดใจชายมาแล้วมากมายก็คือ  เธอเป็นคนพูดเก่ง และมีความอ่อนหวาน อีกทั้งยังให้การดูแลต้อนรับจอร์จอย่างดี จึงทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจได้อย่างประหลาด นางจึงทำให้จอร์จเกิดความเชื่อใจ และตัดสินใจที่จะกลับไปยังมิสซูรี เพื่อนำเงินก้อนโตมาทำธุรกิจร่วมกับเธอ ไม่เพียงเท่านั้น จอร์จยังคิดที่จะแต่งงานจริงจังกับเบลอีกด้วย

แต่ในค่ำคืนนั้นเอง จอร์จที่ได้ค้างคืนที่บ้านของเบล ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก และพบเห็นเบลกำลังยืนอยู่ข้างเตียง โดยทีถ้าอาการของเธอนั้นดูแปลกไป ในแววตามีแต่ความน่ากลัว จนถึงขนาดที่ทำให้เขารู้สึกขนลุก แล้วสัญชาตญาณบางอย่างก็เตือนให้จอร์จ ตัดสินใจหนีออกมา จากบ้านของเบล เขาออกเดินทางกลับมาที่มิสซูรี ในคืนนั้นทันที โดยไม่คิดจะกลับมาที่นั่นอีกเลย

ในระยะหลังเพื่อนบ้านหลายคนให้การว่า พวกเขาเคยผ่านไปเห็นเบลล์ขุดดินในเล้าหมูกลางดึก และยังมีผู้พบเห็นว่า รอย แลมเฟียร์ คู่หมั้นของเบล ออกมาแต่เวรขุดหลุมกลางดึกทั่วบริเวณฟาร์ม

โอเล บี. บัดส์เบิร์ก (Ole B. Budsberg) เป็นเหยื่ออีกรายที่ได้เดินทางมาหาเบลล์จนถึงฟาร์มกันเนส พ่อหม้ายสูงวัยจากรัฐวิสคอนซินผู้นี้ ถูกพบเห็นว่ามีชีวิตอยู่ครั้งสุดท้ายที่ธนาคาร ในลาพอร์เต้ ระหว่างที่เขากำลังถอนเงินสดหลายพันดอลลาร์จากบัญชีของตัวเอง เมื่อวันที่ 6 เมษายนปี 1907 และหลังจากที่เขาหายสาบสูญไป ออสก้ากับแมทธิว บุตรชายทั้งสองของเขาก็ได้พยายามออกตามหาพ่อ จนได้ทราบว่าพ่อของพวกเขา ติดต่อกับเบลล์เป็นคนสุดท้าย พวกเขาได้ส่งจดหมายไปหาเบลลเพื่อถามถึงพ่อ แต่เบลล์ก็รีบตอบกลับมาทันทีว่า เธอยังไม่เคยได้พบพ่อของพวกเขาเลย

ปี 1907 แอนดรู เฮลเกเลียน (Andrew Helgelien) ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง ที่เคยปรากฏตัวอยู่ที่ลาพอร์เต้ ก็มาหายตัวไปในฟาร์มกันเนสช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งเขาเป็นเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ในเซาท์ดาโกตา ที่ได้เขียนจดหมายถึงเบลล์และได้รับข้อความตอบกลับมาที่สุดแสนหวานว่า ถึงเพื่อนผู้ที่น่ารักที่สุดในโลก ไม่มีผู้หญิงคนใดจะโชคดีไปมากกว่าฉันผู้นี้อีกแล้ว ฉันรู้ว่าคุณกำลังมาหาฉัน และจะมาเป็นของฉัน ฉันสามารถรับรู้ได้ในทุกตัวอักษรของคุณ ว่าคุณเป็นคนที่ฉันต้องการ มันไม่ยากเลยที่จะเลือกคุณ ฉันชอบคุณมากกว่าใครๆบนโลกใบนี้ ฉันรู้วิธีที่จะทำให้เรามีความสุขด้วยกัน คุณคือคนที่สุดแสนหวานที่สุดในโลก แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกัน ใครจะคิดอย่างไรก็ตามแต่ แต่สำหรับฉันแล้ว คุณมีคุณค่าที่สุด ลูกๆของฉันก็รักคุณ และฉันยังได้ยินเสียงตัวเองกำลังฮัมเพลงรักเก่าๆ มันช่างเป็นดนตรีที่แสนไพเราะสวยงาม ที่มันกำลังก้องอยู่ในหูของฉัน หัวใจของฉันกำลังเต้นรำด้วยความปลาบปลื้มใจ คุณเฮลเกเลียนของฉัน ฉันรักคุณ คุณคือที่พักทางใจสำหรับฉันตลอดไป

หลังจากที่เฮลเกเลียนได้อ่านจดหมายของเบลล์ เขาก็มุ่งหน้าไปหาเธอในช่วงเดือนมกราคมปี 1908  พร้อมกับเช็คเงินสดมูลค่า 2,900 ดอลล่า แล้วทุกอย่างก็เป็นไปเหมือนเช่นเคย ที่อีกแค่ไม่กี่วันต่อมา เฮลเกเลียนก็ต้องหายสาปสูญไป ส่วนเบลล์กลับไปปรากฏตัวอยู่ที่ธนาคารในลาพอร์เต้ เพื่อที่จะเบิกเงินสดออกจากบัญชีของเฮลเกเลียน เป็นจำนวนรวม 1,200 ดอลลาร์ จากธนาคาร 2 แห่ง ซึ่งหลังจากเกิดเหตุไม่นาน มีการค้นพบจดหมายฉบับหนึ่งที่ฟาร์มของเฮลเกเลียน ซึ่งได้ลงวันที่เอาไว้เมื่อ 13 มกราคม 1908

วันเวลาที่ผ่านไป เบลล์เริ่มมีปัญหากับรอย แลมเฟียร์ คนรักซ่อนเร้นที่อยู่ในสถานะของลูกจ้าง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับเบลล์นั่นเอง และตอนนี้แลมเฟียร์กำลังจะกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งในชีวิตของเบลล์ ยิ่งนานวันแลมเฟียร์ก็ยิ่งเพิ่มความรักความลุ่มหลงในตัวเบลล์มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาเริ่มเข้ามายุ่งย่ามกับชีวิตของเธอ อีกทั้งเขายังเป็นคนขี้หึงขี้อิจฉา โดยเฉพาะกับพวกผู้ชายที่ทยอยเข้ามาในฟาร์มของเบลล์ โดยเขามักจะแสดงท่าทีถึงหวงไม่พอใจ เหมือนกับจะแสดงว่า เขานั้นเป็นเจ้าของตัวจริงของเบลล์ ซึ่งเพราะความก้าวก่ายวุ่นวายของเขา ทำให้เบลต้องตัดสินใจไล่แลมเฟียร์ออกไปเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1908 ทั้งที่ยังมีความกังวลอยู่ว่า เขาอาจจะเอาความลับของเธอไปเปิดเผย ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง เธอจึงมุ่งตรงไปยังสถานีตำรวจท้องถิ่น แล้วแจ้งความไว้ว่าแลมเฟียร์มีอาการเสียสติ และจะทำอันตรายแก่เธอได้
แลมเฟียร์จึงถูกนำตัวมาสอบสวน และถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้เบลล์ แต่หลายวันหลังจากนั้น เบลล์ก็มายังสถานีตำรวจอีกครั้ง โดยเธอบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า แลมเฟียร์ ยังคงตามเธอมาที่ฟาร์ม ทำให้เขาถูกจับตัวเอาไว้ในข้อหาบุกรุก

แต่ปัญหาของเบลก็ไม่ใช่ว่าจะจบสิ้นเพียงเท่านี้ เมื่อเฮลเกเลียน ซึ่งเป็นเหยื่อที่เธอคิดว่าเขาไม่มีญาติพี่น้อง แต่กลับปรากฏว่าเขามีน้องชายที่ชื่อว่าเอลเซ่ น้องชายของเขายังเคยได้รับจดหมายด้วยว่าเขากำลังจะแต่งงานกับแม่หม้ายที่ลาพอร์เต้ เมื่อเอลเซ่ถามเบลล์เกี่ยวกับการหายตัวไปของพี่ชาย เบลรีบบอกว่า เฮลเกเลียนไม่ได้มาหาเธอ น้องชายของเฮลเกเลียนจึงได้รวบรวมคนเพื่อออกตามหาพี่ชาย แต่เบลล์ก็พูดดักทางไว้ว่า การตามหาคนสูญหายนั้นต้องใช้ค่าใช้จ่ายมาก หากจะให้เธอช่วยตามหาก็ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายให้เธอด้วย ซึ่งเอลเซ่ก็ได้ตอบตกลงและวางแผนว่าจะ้ดินทางไปที่ลาพอร์เต้ในเดือนพฤษภาคม

หากมีคนจำนวนมากช่วยกันออกตามหา เรื่องทั้งหมดที่เธอได้เคยทำไว้ก็จะถูกเปิดเผยขึ้นได้ง่ายๆ เบลล์จึงได้วางแผนหาทางออกให้กับปัญหาเหล่านี้ เธอคิดจะใช้แลมเฟียร์ในการเอาตัวรอด เธอต้องการสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนมุ่งเป้าไปที่แลมเฟียร์ และทำให้ทุกคนเชื่อว่าเขาคือคนร้าย เบลเดินทางไปพบกับทนายในตัวเมืองโดยอ้างว่า เธอกำลังถูกแลมเฟียร์ตามรังควาน อีกทั้งยังได้ข่มขู่ว่าเขาจะฆ่าเธอ และยังจะเผาบ้านของเธออีกด้วย นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตของเธอ และพวกลูกๆ และด้วยปัญหานี้ เธอจึงขอทำพินัยกรรมทั้งหมดที่มีอยู่มอบให้กับลูกๆทั้งสามคน ในกรณีที่เธอต้องมีเหตุใดๆจนถึงขั้นต้องเสียชีวิต หลังจากนั้นเธอก็เดินทางไปแจ้งความด้วยข้อมูลลักษณะแบบนี้ที่สถานีตำรวจ จากนั้นเบลล์ก็ไปทำการถอนเงินสดทั้งหมดออกจากธนาคาร เพื่อเตรียมการอะไรบางอย่าง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่เบลล์จะใช้วิธีการลอบวางเพลิงเผาบ้านของตัวเองจนวอดวาย

โจ แม็กซ์สัน เป็นลูกจ้างที่เบลจ้างมาทำงานในฟาร์ม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1908 ซึ่งราว 2 เดือนหลังจากนั้นในช่วงวันที่ 28 เมษายน เขาก็ได้ตื่นขึ้นมาเนื่องจากได้กลิ่นเหม็นไหม้ที่ห้องชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของบ้านของคุณนายเบลล์ โจ แม็กซ์สันจนปัญญาที่จะดับไฟ จึงได้แต่วิ่งไปตามให้คนมาช่วย แต่กว่าที่ผู้คนจะมาถึง บ้านทั้งหลังก็วอดวายกลายเป็นกองฟืนไปหมดแล้ว


จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุตำรวจพบศพ 4 ศพจากห้องใต้ดิน 3 ใน 4 ศพนั้นเป็นศพของเด็กที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นลูกๆของเบล ส่วนอีกศพหนึ่งไม่สามารถทำการระบุได้ว่าเป็นศพของเบลล์ กันเนสหรือไม่ เนื่องจากเป็นศพไร้หัว และส่วนของหัวก็ไม่พบในที่เกิดเหตุแต่อย่างใด แต่เนื่องจากศพนั้นอยู่รวมกับศพของพวกเด็กๆ และยังมีฟันปลอมของเบลล์ตกอยู่ข้างศพอีกด้วย จึงทำให้ในท้ายที่สุดตำรวจ จึงตั้งสันนิษฐานไปตามที่เห็นว่าศพหญิงสาวไร้หัวนี้ก็น่าจะเป็นศพของเบลล์กันเนสไปโดยปริยาย

ในอำเภอก็ได้มีข่าวลือ เรื่องที่เบลเข้าไปแจ้งความ เกี่ยวกับการถูก lamphu ข่มขู่และพยายามที่จะคุกคามชีวิตของเธอ โดยมีการระบุเอาไว้ว่า แลมเฟียร์จะฆ่าเธอและลูกๆ พร้อมกับเผาบ้านตามที่เขาได้เคยข่มขู่เอาไว้ อีก 1 เดือนให้หลังในวันที่ 23 พฤษภาคม รอย แลมเฟียร์ ก็ถูกจับในข้อหาวางเพลิง และฆาตกรรมอีก 4 คดี ซึ่งเขาก็ได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายเขาก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง เฉพาะในส่วนของคดีของการลอบวางเพลิง และถูกจำคุกนานถึง 21 ปี

คดีนี้เหมือนว่าจะจบลง เมื่อแลมเฟียร์ต้องก้มหน้าก้มตาเข้าคุก หากแต่ว่าเรื่องราวนี้ยังไม่จบลงง่ายๆ เมื่อจบของผู้หญิงไร้หัวที่เคยถูกระบุว่าเป็นศพของเบลล์นั้น หลายคนไม่ยอมเชื่อว่านั่นเป็นศพของเบลล์ตัวจริง เพราะทุกคนที่รู้จักมักคุ้นกับเบลล์นั้น เมื่อได้เห็นศพนี้ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่ไม่ใช่ศพของคุณนายเบลล์ที่พวกเขารู้จักอย่างแน่นอน เพราะเบลล์นั้นเป็นผู้หญิงที่มีร่างกายสูงใหญ่มาก ซึ่งเธอนั้นสูงประมาณ 5.8 ฟุต แต่ศพนั้นสูงเพียง 5.3 ฟุตเท่านั้น อีกทั้งน้ำหนักของเบลโดยประมาณคือ  180-200 ปอนด์ เจอศพไร้หัวนั้นกลับมีน้ำหนักเพียงแค่ 150 ปอนด์เท่านั้น ซึ่งขนาดร่างกายของเบลนั้นสามารถตรวจสอบได้จากร้านเสื้อผ้าสตรีร้านประจำของเธอนั่นเอง นอกจากนี้ผลจากการชันสูตรศพอย่างละเอียดก็พบว่า ศพไร้หัวนี้เสียชีวิตด้วยฤทธิ์ของยาเบื่อ ต่อมาเมื่อเอลเซ่ เฮลเกเลียนรู้ถึงข่าวคราวของเบลล์ เขาจึงรีบเดินทางมาที่ลาพอร์เต้เพื่อเข้าพบนายอำเภอและแจ้งการหายตัวไปของพี่ชาย ซึ่งเขาก็ได้สงสัยว่า เบลล์น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นายอำเภอจึงนำกำลังคนเข้าไปขุดค้นที่บ้านของเบลล์ กันเนส จนกระทั่งได้พบกับศพจำนวนมากถึง 13 ศพ ซึ่งบางศพ ก็เป็นศพที่ถูกระบุว่าเป็นคนที่หายในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีศพของแอนดรูว์ เฮลเกเลียนด้วยจริงๆ

ศพทุกศพจะถูกตัดแขนขาแล้วเอาไว้ด้วยกระดาษน้ำมัน ทำให้บางศพไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นศพของใครกันแน่ และเมื่อยิ่งมีการตรวจค้นอย่างละเอียด ก็ได้พบว่าภายในบริเวณฟาร์มของเบลล์ กันเนสนั้น มีศพคนอื่นๆถูกฝังเอาไว้มากกว่า 40 ศพ มีทั้งศพเด็กและศพผู้ใหญ่ อีกทั้งศพแต่ละศพนั้นก็เป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวของเบลล์ หรือเป็นบุคคลที่ได้เข้ามาในชีวิตของเบลล์ แล้วต่างก็พากันหายสาบสูญไป หลายปีต่อมา ในวันที่ 14 มกราคม  1910 แลมเฟียร์ ที่กำลังรับโทษอยู่ในคุก ก็ได้สารภาพบาปกับบาทหลวง ว่าเขาเคยเป็นคนรักของเบล และได้ให้ความร่วมมือในการก่อคดีฆาตกรรม โดยวิธีที่เขาและเธอทำร่วมกันมาตลอดคือ การแอบใส่ยานอนหลับลงไปผสมในเครื่องดื่ม จนเมื่อเหยื่อได้ดื่มเข้าไปก็จะเกิดอาการมึนเมา หลังจากนั้นเบลล์จะทำการตัดหัวของเหยื่อด้วยมือของเธอเอง แล้วจึงนำร่างนั้นไปวางไว้บนโต๊ะในห้องใต้ดิน ซึ่งเป็นโต๊ะประจำที่ใช้สำหรับทำการชำแหละแยกชิ้นส่วน

แลมเฟียร์ยังได้บอกอีกว่า เบลล์มีความเชี่ยวชาญในการชำแหละแยกชิ้นส่วนมนุษย์มาก โดยศพที่เธอได้ทำการชำระแล้ว ส่วนหนึ่งก็จะถูกนำไปทำเป็นอาหารหมู ส่วนที่เหลือเขาก็จะทำการฝังแล้วกลบด้วยปูนขาว เพื่อเป็นการป้องกันกลิ่นไม่ให้โชยออกมา อดีตคนรักของเบลล์ยังได้บอกอีกว่า แม้ว่าเบลจะต้องเหน็ดเหนื่อยในการกำจัดศพแค่ไหน เธอก็จะทำเท่ากับว่ามันเป็นงานที่สำคัญมาก แม้แต่ในเวลากลางค่ำกลางคืน เธอก็ยังมุ่งมั่นที่จะชำแหละชิ้นส่วนของเหยื่ออย่างขยันขันแข็ง ก่อนที่จะนำเศษชิ้นส่วนของเหยื่อไปเลี้ยงหมู แลมเฟียร์ถึงกับเอ่ยปากสาบานว่า เบลล์ยังไม่ได้ตายไปจริงๆตามที่ตำรวจสันนิษฐานอย่างแน่นอน เพราะศพไร้หัวในที่เกิดเหตุนั้น เป็นศพของหญิงเร่ร่อนที่มาจากชิคาโก้ ที่โดนเบลล์หลอกมาว่าจะให้มาทำงานเป็นแม่บ้าน จากนั้นเมื่อได้เวลาที่จะได้ดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ เดี๋ยวก็หลอกให้แม่บ้านคนนั้นดื่มยาพิษ แล้วก็ลงมือฆ่าเธอด้วยการตัดหัว ซึ่งส่วนหัวของแม่บ้านผู้โชคร้ายคนนี้ได้ถูกนำเอาไปทิ้งในบึงน้ำแห่งหนึ่ง

จากนั้นเธอก็ได้ทำการฆ่าลูกๆของตัวเอง ด้วยการให้ยาสลบ แล้วทำให้เด็กๆขาดอากาศหายใจจนตาย แล้วก็ลากศพเด็กทั้ง 3 ศพรวมถึงศพของแม่บ้านคนนั้นไปไว้ที่ห้องใต้ดิน แล้วเธอก็จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับศพไร้หัวเป็นเสื้อผ้าเก่าของเธอ สำหรับฟันปลอมของเธอที่ถูกนำเอาไว้ข้างๆกับร่างของศพ ก็เพื่อจงใจสร้างหลักฐานลวงว่านั้นเป็นศพของเธอเอง จากนั้นเธอก็ทำการวางเพลิงบ้านของตัวเอง เราคงจะหลบหนีไปยังเมืองข้างๆแล้วก็หลบหนีไปเมืองต่างๆต่อไป นอกจากนี้แลมเฟียร์ยังได้พูดถึงรายละเอียดอื่นๆอีกด้วยว่า เบลทำการฆ่าเหยื่อไปแล้วทั้งหมด 42 คน เพียงเพื่อจะได้ทำการยึดเอาทรัพย์สินที่พวกเขานำติดตัวมาด้วย และการหลอกลวงเหยื่อมาทำการฆาตกรรมเช่นนี้ ก็ทำให้เธอมีเงินสะสมมากถึง 250,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งนับว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลในยุคสมัยนั้น


อย่างไรก็ตามไม่มีใครทราบว่าสิ่งที่แลมเฟียร์พูดมาทั้งหมดนั้น เป็นความจริงหรือไม่ เพราะก่อนที่จะได้ทำการพิสูจน์ เขาก็ได้เสียชีวิตด้วยโรควัณโรคไปก่อน และหลังจากนั้นอีกหลายปี ได้มีรายงานการพบเห็นเบลล์ตามเมืองต่างๆ อย่างชิคาโก้ นิวยอร์ค ลอสแองเจลิส ซานฟรานซิสโก และในช่วงปลายปี 1931  ได้มีรายงานแจ้งเข้ามาว่า เบลล์ยังคงมีชีวิตอยู่ในมิสซิสซิปปี้ ในฐานะของเศรษฐีนีอาวุโสผู้หนึ่ง และในปีเดียวกันนี้ เอสเธอร์ คาร์ลสัน ก็ได้ถูกตำรวจจับกุมตัวในลอสแอนเจลิส ด้วยข้อหาวางยาพิษเพื่อหวังสมบัติ โดยมีพยานในเหตุการณ์ 2 คนที่ยืนยันว่า เอสเธอร์ คาร์ลสัน ก็คือเบลล์ กันเนสนั่นเอง โดยพวกเขาพยายามอ้างอิงตัวตนของคนทั้งคู่ด้วยรูปถ่าย แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้รับการพิสูจน์แต่อย่างใด เนื่องจากเอสเธอร์ คาร์ลสันได้เสียชีวิตลงไปก่อนหน้าที่จะขึ้นศาล

เวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานจนถึงทุกวันนี้ ชื่อของเบลล์ กันเนส ก็เป็นที่จดจำของผู้คนเรากับว่าเป็นตำนานเรื่องหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ จนกระทั่งในปี 2007  ศพไร้หัวที่ถูกสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเบลล์ กันเนส ซึ่งได้ถูกฝังเอาไว้รวมกับสามีคนแรกของเธอ ได้ถูกขุดขึ้นมาเพื่อทำการพิสูจน์ โดยทีมนักกฎหมายและมานุษยวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยของรัฐอินเดียน่าโพลิส ซึ่งการขุดศพไร้หัวขึ้นมาตรวจสอบในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะใช้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ทำการพิสูจน์ดีเอ็นเอ แต่ก็ยังไม่มีผลสรุปชี้ชัดออกมาว่า ศพไร้หัวนั้นจะเป็นศพของเบลล์ กันเนสจริงหรือไม่ belle gunness farm

บทความที่น่าสนใจ